การคุมกำเนิดจัดเป็นหนึ่งหลายวิธีที่หลาย ๆ ครอบครัว รวมถึงหลาย ๆ ประเทศใช้ในการควบคุมจำนวนประชากรเพื่อให้เกิดความพอดี ในส่วนของการคุมกำเนิดก็สามารถทำได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยในบทความนี้เราจะขอพาทุกท่านไปพบกับหนึ่งวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมในเพศหญิงซึ่งก็คือการทำหมัน และเราจะพาคุณผู้หญิงทั้งหลายไปรู้จักกับการ ทำหมันแห้ง กันว่าคืออะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อพิจารณาร่วมในการตัดสินใจก่อนที่จะทำ
รู้จักกับการ ทำหมันแห้ง คืออะไร?
การทำหมันแห้งนั้นจัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมสูงโดยเป็นการทำหมันในเพศหญิงที่สามารถทำได้หลังจากที่มีการให้กำเนิดบุตรเป็นเวลา 6 สัปดาห์ขึ้นไป (ทั้งนี้หากต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้คุณผู้หญิงแต่ละท่านก็ต้องเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษาเรื่องระยะเวลาก่อน เพราะคุณผู้หญิงบางท่านก็สามารถทำหลังจากคลอดลูกก่อนเวลา 6 สัปดาห์ และคุณผู้หญิงบางท่านก็ต้องทำหลังจากคลอดลูกมากกว่า 6 สัปดาห์ไปอีก) และคุณผู้หญิงยังสามารถทำหมันแห้งได้เกือบทุกช่วงเวลาอีกด้วย (ยกเว้นช่วงเวลาที่มาประจำเดือน) โดยการทำหมันแห้งนั้นแบ่งออกเป็น 2 วิธีย่อย ๆ ดังนี้
1.วิธีการผ่าตัดบริเวณหน้าท้อง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการผ่าตัดบริเวณหน้าท้องของคุณผู้หญิงเพื่อหาท่อนำไข่ จากนั้นก็ทำการตัดท่อนำไข่บางส่วนออกแล้วทำการผูกไว้เพื่อไม่ให้ไข่สามารถเดินทางตามท่อนำไข่แล้วไปปฏิสนธิกับอสุจิของคุณผู้ชายได้ ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะต้องตัดและผูกส่วนของท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างเลย
2.วิธีการใช้กล้องในการผ่าตัดท่อนำไข่ โดยวิธีนี้จะจำกัดไม่สามารถทำได้ในคุณผู้หญิงที่มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต หรือคุณผู้หญิงที่มีภาวะของโรคหัวใจเพราะในขั้นตอนการส่องกล้องจะมีการใส่ก๊าซเข้าไปในช่องท้องของคุณผู้หญิงด้วย ซึ่งวิธีการนี้จะเกิดรอยแผลที่ค่อนข้างเล็กเพราะเป็นแผลของทางเดินกล้องเท่านั้น เมื่อส่องกล้องเข้าไปแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะใช้ไฟฟ้าจี้บริเวณท่อนำไข่แทนการตัดด้วยกรรไกรเหมือนวิธีแรก
ข้อดีของการทำหมันแห้ง
ถัดมาเราก็ขอพาคุณผู้หญิงมาพบกับข้อดีของการทำหมันแห้งซึ่งมีดังนี้
1.ความสะดวก เป็นข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะคุณผู้หญิงจะสามารถเลือกเวลาในการทำได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ในส่วนของการพักฟื้นก็ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลเลย เพราะหลังทำพักฟื้นเพียง 2 – 3 ชั่วโมงก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จากนั้นก็พักฟื้นต่ออีกประมาณ 2 – 3 วันก็สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
2.ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ เพราะไม่ต้องกลัวการหลงลืมเหมือนการกินยาคุม
3.มีความปลอดภัยสูงมากโดยพบว่าคุณผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้จะใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นาน และไม่ค่อยพบอาการแทรกซ้อนจากการผ่าตัดทั้งแบบเปิดหน้าท้องหรือแบบส่องกล้องเลย
4.ไม่ต้องกังวลในส่วนของระดับฮอร์โมนภายในร่างกายเพราะวิธีการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ไม่กระทบต่อระดับฮอร์โมนในร่างกายเพศหญิงเหมือนการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ เลย
ข้อเสียของการทำหมันแห้ง
ส่วนของข้อเสียของการทำหมันแห้งก็มีดังนี้
1.ใช้ระยะเวลาในการคลำหาท่อรังไข่นานกว่าวิธีการทำหมันเปียก เพราะท่อรังไข่อยู่ในภาวะปกติไม่ได้นูนขึ้นมา
2.มีรอยแผลเป็นปรากฎบริเวณหน้าท้อง ซึ่งจะเป็นรอยแผลที่ติดตัวคุณผู้หญิงไปตลอดชีวิต
3.เสี่ยงสำหรับการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งนับเป็นการตั้งครรภ์ที่นับว่ามีอันตรายและมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์สูงมาก
ทำหมันแห้ง VS ทำหมันเปียก ต่างกันยังไง
ทำหมันแห้งนั้นแตกต่างจากการทำหมันเปียกที่ระยะเวลาในการทำ กล่าวคือ การทำหมันเปียกจะเป็นการทำหลังจากที่มีการให้กำเนิดลูกน้อย ส่วนการทำหมันแห้งจะเป็นการทำหลังจากที่ให้กำเนิดลูกน้อยแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ หรือ การทำแม้จะไม่มีการให้กำเนิดลูกน้อย
วิธีดูแลตัวเองหลังทำหมัน
หลังจากการทำหมันแล้วคุณผู้หญิงควรดูแลตนเองตามวิธีดังนี้
- งดการโดนน้ำบริเวณบาดแผลทั้งหลีกเลี่ยงการโดนน้ำจากการอาบน้ำหรือการตากฝน ทั้งนี้ก็เพื่อลดการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นบริเวณบาดแผลนั่นเอง
- งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ส่วนนี้อาจใช้การแสดงความรักด้วยวิธีอื่น ๆ ไปแทนก่อนทั้งส่วนของการโอบกอดหรือการ kiss เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก รวมถึงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงในปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หรือ การเล่นกิจกรรมผาดโผนทั้งหลาย
- หากมีอาการปวดท้องรุนแรง หรือแผลผิดปกติทั้งการมีน้ำไหลออกมาจากบาดแผลหรือการบวมเป่งหรือการเกิดหนองบริเวณบาดแผลให้รีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน
การคุมกำเนิดโดยการทำหมันแห้งนับเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมสูง เนื่องด้วยประสิทธิภาพที่สูงของการคุมกำเนิด อย่างไรก็ดีการคุมกำเนิดด้วยวิธีดังกล่าวก็ยังไม่ใช่การคุมกำเนิดแบบ 100% ดังนั้นหากคุณผู้หญิงเลือกที่จะใช้วิธีคุมกำเนิดโดยการทำหมันแห้งก็ควรพิจารณาความพร้อมของร่างกายตนเอง พร้อมกับเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย
เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ