คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อมี อายุครรภ์ 8 เดือน ทารกในครรภ์จะมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง คุณแม่ควรสังเกต การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ดีเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะใกล้คลอดและต้องดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษในช่วงนี้ สำหรับวันนี้เราจึงนำสาระความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับคุณแม่และการดูแลตัวเองของคุณแม่ใกล้คลอดมาฝากให้ปฏิบัติตามกัน จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นตามมาดูกันเลย
การเปลี่ยนแปลงเมื่อ อายุครรภ์ 8 เดือน
ในช่วงที่คุณแม่มีอายุครรภ์ 8 เดือน หรืออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งคุณแม่จำเป็นจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีเพื่อเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เรามาดูกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
1.หายใจไม่ค่อยสะดวก
สาเหตุของการหายใจไม่ค่อยสะดวกมาจากการขยายตัวของมดลูกที่ใหญ่ขึ้นและมีการบีบตัวของมดลูกด้วยเช่นกัน จึงทำให้คุณแม่รู้สึกมีอาการดังกล่าว เราขอแนะนำให้คุณแม่หาหมอนมาพิงหลังและพยายามนั่งตัวตรง ๆ ตลอดเวลาหายใจเข้าออกสบาย ๆ ช้า ๆ เพื่อให้หายใจได้ง่ายขึ้น และสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือไม่ควรรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไปเพราะจะทำให้หายใจได้ลำบาก ควรทานในปริมาณที่น้อยแต่รับประทานบ่อย ๆ กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักมากเกินไป
2.รู้สึกหน่วงบริเวณอวัยวะเพศ
ช่วงที่มีอายุครรภ์ 8 เดือน ทารกจะเริ่มกลับหัวทำให้มดลูกมีการบีบตัว ซึ่งในระหว่างที่ทารกกลับหัวนั้นศีรษะของทารกอาจจะกดทับเส้นประสาทช่วงเชิงกรานของคุณแม่ได้ จึงทำให้รู้สึกหน่วงบริเวณอวัยวะเพศและมีอาการปวดมากขึ้น เมื่อมีอาการเช่นนี้ให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการเดินหรือเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ควรพักผ่อนเพื่อให้อาการดีขึ้น ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ทันที
3.เท้าและมือบวม
อาการเท้ามือบวมนั้นจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 8 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ สาเหตุที่มีอาการบวมนั้นเป็นเพราะว่ามดลูกเกิดการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้มีส่วนไปกดทับเส้นเลือดส่วนอื่น ๆ ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่วนมากจะเกิดอาการบวมในช่วงเย็น ๆ เป็นอาการที่ไม่มีอันตรายและรุนแรงมากนัก
4.เกิดอาการท้องแข็ง
จะสังเกตเห็นได้ว่าคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 8 เดือน เริ่มมี อาการท้องแข็ง นั่นเป็นเพราะเกิดการบีบตัวของมดลูกทำให้เลือดที่จะนำมาหล่อเลี้ยงลูกนั้นขาดหายไปบางส่วน จึงส่งผลให้คุณแม่มีอาการปวดท้องและรู้สึกว่าท้องแข็ง คุณแม่ที่ใกล้คลอด มาก ๆ จะปวดท้องบ่อยและปวดแบบทนไม่ไหวจนต้องไปพบแพทย์
5.เริ่มมีน้ำนมไหลออกมา
แน่นอนว่ายิ่งใกล้ถึงกำหนดคลอดลูกน้อยเข้ามาเท่าไหร่ คุณแม่จะมีน้ำนมไหลออกมาเรื่อย ๆ นี่เป็นสัญญาณเตือนของคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 8 เดือน ที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของคุณแม่มีความพร้อมมาก
คำแนะนำการดูแลตัวเองในช่วงนี้
สำหรับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 8 เดือน ควรจะต้องศึกษาคำแนะนำในการดูแลตัวเองในช่วงนี้ให้เข้าใจอย่างละเอียด เพื่อป้องกันตัวเองและทารกที่อยู่ในครรภ์ให้ปลอดภัยที่สุด เรามาดูกันว่าจะมีวิธีการดูแลตัวเองในช่วงนี้อย่างไรบ้าง
1.รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง
คุณแม่จะรู้สึกว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมเยอะมาก เมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ เราขอแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงหรืออาหารที่ช่วยให้คุณแม่ย่อยง่าย ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน เมื่อไหร่ที่คุณแม่ทานอาหารมากเกินไปอาจจะทำให้คุณแม่หายใจไม่สะดวก และสิ่งที่สำคัญอย่าบำรุงมากเกินไป ให้รับประทานนมเพียงวันละ 1 แก้ว ต่อวัน ก็เพียงพอต่อร่างกายคุณแม่แล้วค่ะ
2.พยายามอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ
แน่นอนว่าคุณแม่ในช่วงใกล้คลอดจะมีขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้น ทำให้จะทำอะไรก็ลำบากไปหมดเพราะฉะนั้นควรระมัดระวังพยายามเลี่ยงอย่าให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงนี้ ทางที่ดีในช่วงนี้ให้คุณแม่ใช้เวลาพักผ่อนร่างกายให้เต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันคลอด
3.สังเกตอาการที่เกิดขึ้น
ให้คุณแม่สังเกตอาการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง อาการท้องแข็งเป็นระยะ ๆ เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และไม่ดีขึ้น ต้องรีบเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้แก้ไขอาการเหล่านี้ได้ถูกวิธี
4.พักผ่อนให้เพียงพอ
เรื่องงานบ้านงานเรือนให้คุณแม่หยุดทำไปก่อน แล้วพยายามหาเวลาพักผ่อนให้เยอะ ทำตัวเองให้มีความสุขอยู่เสมอ เราขอแนะนำให้ผ่อนคลายโดยหาดูหนังสักเรื่องหรือฟังเพลงโปรดที่คุณแม่ชื่นชอบจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและหายกังวลได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายนี้เราขอให้คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ หรือคุณแม่ที่อยู่ในช่วงใกล้คลอดใช้ชีวิตอย่างมีสติมากที่สุดระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุกับตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่คุณที่จะได้รับผลกระทบลูกน้อยของคุณก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณควรให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองและลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์เป็นอย่างมาก เราหวังว่าคุณจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลกและมีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์
เรื่องอื่นๆ ที่เราแนะนำสำหรับคุณ
- ทำไมคุณถึงไม่ควรแคะหูให้ลูกด้วย คอตตอนบัด
- โรคไข้เลือดออก(Dengue Fever) สังเกตยังไงว่าลูกเป็นไข้เลือดออก
- ทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)ทำอย่างไรเมื่อลูกเป็นทอนซิลอักเสบ วิธีดูแลป้องกัน